วันพฤหัสบดีที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2554

ดื่มน้ำเย็น…อันตราย

น้ำเย็น แม้จะให้ความรู้สึกชื่นใจกว่า แต่รู้ไหมว่าไม่ดีกับหัวใจและเสี่ยงโรค ลองปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเพื่อป้องกันโรคร้ายกันเถอะ

หลายท่านชอบดื่มน้ำเย็นหลังอาหาร แต่ทราบไหมว่า ท่านกำลังเสี่ยงต่อโรคมะเร็ง เพราะน้ำเย็นจะทำให้ไขมันจากอาหารที่เรากินเข้าไปจับตัวกันและทำให้การย่อยช้าลง เมื่อกากไขมันเหล่านั้นทำปฏิกิริยากับกรด จะแตกตัวและถูกดูดซึมโดยลำไส้ กลายเป็นไขมันซึ่งส่งผลให้เกิดมะเร็งได้
รู้ดังนี้แล้วแนะนำให้ดื่มซุปร้อนๆ หรือน้ำอุ่นหลังอาหารดีกว่า สังเกตได้จากการที่ชาวจีนและญี่ปุ่นมักจะดื่มชาร้อนระหว่างมื้ออาหารไม่ดื่มน้ำเย็น
อีกประการหนึ่งคือควรอาบน้ำอุ่นในตอนค่ำ และไม่ควรอาบน้ำหลังสามทุ่มหากอาบก่อนรับประทานอาหารได้จะดีมาก เพราะระบบการย่อยและหัวใจ จะสัมพันธ์กันตามหลักนาฬิกาชิวิตหยินหยาง หากทำได้เป็นประจำจะทำให้ไม่เป็นโรคร้ายแรง
ที่มา : หนังสือพิมพ์เดลินิวส์     ข้อมูลเพิ่มเติม   คลิกที่นี่

น้อง"เพลง" ลูกแม่"ตู่" ยิ่งโต ยิ่งสวย

ดูแม่ตู่ นันทิดาจะรักอย่างกะไข่ในหิน ไปไหนมาไหนต้องเห็นแม่ลูกคู่นี้อยู่ด้วยกัน ก็ไม่ให้ห่วงได้ไง น้องเพลงเล่นยิ่งโตยิ่งสวยแบบนี้ แถมบ้านรวยอีก มีหรือพวกมดไรจะไม่มาไต่ตอม



เครดิตภาพจากสยามดารา

เดินทางให้สนุก แนะนำวิธีเตรียมตัวให้พร้อม

เดินทางให้สนุก 
แนะนำวิธีเตรียมตัวให้พร้อมออกเดินทาง

ความสนุกสนานในการเดินทางนั้นเกิดจากปัจจัยหลายอย่าง เช่น
- หาข้อมูลเกี่ยวกับสถานที่ท่องเที่ยวนั้นๆไว้ล่วงหน้า
- เมื่อเดินทางไปกับกรุ๊ปทัวร์  ควรระวังเรื่องเวลานัดหมายที่จุดนัดพบ ตกลงกันให้เรียบร้อยว่าจะเน้นชมอะไร เพราะจุดมุ่งหมายและนิยามของคำว่า “พักผ่อน” นั้นอาจแตกต่างกัน
- ศึกษาวัฒนธรรมท้องถิ่นและให้ความเคารพสถานที่ หัดพูดคำง่ายๆในภาษาท้องถิ่นบ้าง เพื่อจะได้ทักทาย สั่งอาหาร หรือขอความช่วยเหลือยามจำเป็น
- อย่าเก็บของมีค่า เงินสด รวมถึงเอกสารสำคัญไว้ที่เดียวกันหมด ควรแยกเก็บไว้กระเป๋าอื่นบ้าง และควรเก็บของมีค่าไว้ในกระเป๋าที่อยู่กับตัวเท่านั้น
- เมื่อไปเที่ยวกันหลายคนด้วยรถยนต์ส่วนตัว ควรตกลงเรื่องค่าใช้จ่ายให้เรียบร้อย เช่นใครจะออกค่าน้ำมัน ค่าผ่านทาง ค่าที่พัก หรือถ้าจะลงขันกันก็ควรตกลงกันว่าจะให้ใครเป็นคนถือเงิน
- อย่าอายที่จะถามทางถ้าตัวเองหลงทาง และอย่าลืมพกแผนที่ติดตัวไว้ด้วย
- เตรียมเสบียงเผื่อไว้ ในกรณีเดินทางไปยังที่ที่มีแต่อาหารท้องถิ่นที่เราไม่คุ้นเคย
- รู้จักเอาใจเขามาใส่ใจเรา พยายามให้อภัยหากเกิดปัญหาเพราะเหตุสุดวิสัย จะได้ไม่บั่นทอนความสนุกในการเดินทาง
มีมารยาทและวินัย เมื่อต้องเดินทางเป็นหมู่คณะ การเดินทางจะได้ราบรื่นขึ้น
อย่าลืมนำยาสามัญประจำบ้าน หรือยาประจำตัว ครีมกันแดด แว่นตากันแดด และร่มติดไปด้วย
เมื่อเดินทางไปต่างประเทศ ควรสอบถามกับสถานทูตหรือสถานกงสุลล่วงหน้า ว่าอะไรเป็นของต้องห้ามที่ห้ามนำเข้าประเทศบ้าง เพราะบางประเทศอาจมีบทลงโทษที่รุนแรง
- อย่านำสิ่งของไม่สมควรติดตัวขึ้นเครื่องบิน เช่น กรรไกร มีด หรือของที่ต้องสงสัยว่าจะใช้เป็นอาวุธได้
อย่าใช้เงินเพลินจนเกลี้ยงกระเป๋า ควรสำรองไว้เผื่อต้องจ่ายค่าภาษีสนามบินด้วย (ในกรณีที่ต้องจ่ายต่างหาก ณ สนามบิน) หรือในกรณีเครื่องดีเลย์ อาจต้องอยู่สนามบินนานขึ้น หรือต้องค้างคืน

ที่มา : ELLE

The Circle ถนนราชพฤกษ์.. เดินเล่นเก๋ๆ ถ่ายรูปสวยๆ

ชวนสาวๆ ไปเดินเล่นเก๋ๆ ถ่ายรูปอวดเพื่อนๆ ที่ เดอะ เซอร์เคิล ถนนราชพฤกษ์
แหล่งรวมร้านอาหาร และช้อปปิ้งแห่งใหม่ (The Circle, RatchaPruk
















ข้อมูลเพิ่มเติม คลิกที่นี่

วิธีถนอมดวงตาหน้าคอมพิวเตอร์

เช็ค “ดวงตา” ถูกใช้งานอย่างหักโหมหรือไม่?!! พร้อมวิธีแก้ไขควรปฏิบัติ 
ช่วยถนอม “สายตา” ยามนั่งหน้าจอคอมพิวเตอร์
นักศึกษายุคไอทีที่ต้องหาข้อมูล ทำการบ้าน หรือพิมพ์รายงานผ่านคอมพิวเตอร์นานหลายชั่วโมง หากรู้สึกตาแห้ง แสบ พร่ามัว ปวดกระบอกตา หรือเห็นแสง-สีผิดจากปกติ นั่นเป็นสัญญาณของการจ้องจอคอมฯ นานเกินไป แม้ไม่อันตราย แต่บั่นทอนประสิทธิภาพการเรียนรู้ ดังนั้น เพื่อดวงตาคู่สวยทำหน้าที่อย่างมีประสิทธิภาพไปนาน ๆ จึงต้องหมั่นถนอมด้วยวิธีต่อไปนี้
1.จอคอมพิวเตอร์ควรห่างจากสายตาประมาณ 1 ช่วงแขน และปรับจุดกึ่งกลางจอคอมฯ ให้อยู่ต่ำกว่าระดับสายตาประมาณ 20 องศา เป็นระยะที่ช่วยลดอาการเมื่อยเกร็งของกล้ามเนื้อบริเวณไหล่ หลัง และคอได้
2.ปรับแสง และความคมชัดหน้าจอคอมพิวเตอร์ให้รู้สึกสบายตา โดยไม่ต้องเพ่ง ควรพิจารณาแสงไฟในห้องด้วยว่า เมื่อส่องกระทบหน้าจอคอมพิวเตอร์แล้ว จ้าเกินไปหรือไม่ เพราะจะทำให้ดวงตาเมื่อยล้า แห้ง และแสบได้ง่าย นอกจากนี้ ควรติดแผ่นกรองรังสี เพื่อลดการกระจายแสง
3.พักสายตาทุก 30 นาที โดยหลับตา หรือมองไปไกล ๆ ประมาณ 5 นาที อาจใช้ผ้าชุบน้ำหมาด ๆ ประคบดวงตา ประมาณ 2-3 นาที จะช่วยผ่อนคลายกล้ามเนื้อตา และทำให้เลือดหมุนเวียนมาเลี้ยงดวงตาได้ดี
4.ควรกระพริบตาให้บ่อยขึ้น เพื่อให้มีน้ำหล่อเลี้ยงดวงตา ช่วยลดอาการแสบตา ตาแห้ง และความอ่อนล้าของดวงตาได้ ทั้งนี้ ผลการวิจัยในต่างประเทศพบว่า การนั่งจ้องคอมฯ เป็นเวลานาน อัตราการกระพริบตาจะลดลงโดยไม่รู้ตัว ถึงร้อยละ 60
5.สำหรับคนที่ใส่คอนแทคเลนส์ มักตาแห้งได้ง่าย กรณีนี้การหยอดน้ำตาเทียมจะช่วยบรรเทาอาการปวด และแสบตาได้ แต่ควรใช้เมื่อมีอาการ
6.ทำความสะอาดหน้าจอคอมพิวเตอร์เป็นประจำ เพราะฝุ่นที่หนาจะทำให้แสงสะท้อนเข้าตาได้มากขึ้น
แม้การใช้งานคอมพิวเตอร์ โดยจ้องจอคอมพิวเตอร์ ไม่ควรเกิน 4 ชั่วโมงต่อวัน จะเป็นเรื่องที่ปฏิบัติได้ยากสำหรับหนุ่ม-สาวยุคไอที แต่สามารถถนอมดวงตาได้ง่าย ๆ ด้วยวิธีข้างต้น เพียงหมั่นปฏิบัติให้เป็นนิสัย เพื่อสายตาได้ทำหน้าที่อย่างมีประสิทธิภาพนานที่สุด.
      ข้อมูลเพิ่มเติมสุขภาพจ้า   คลิกที่นี่
ที่มา : หนังสือพิมพ์เดลินิวส์

DIY ทำที่คาดผมดอกไม้


ตัวอย่างคร่าวๆ การทำมงกุฎดอกไม้ พลาสติก
อุปกรณ์
1. ดอกไม้พลาสติก ดอกเล็กๆ (น่าจะมัดละ 10-30 บ.)
2. ที่คาดผม

          ขั้นตอนการทำ
คือว่า จับดอกไม้พลาสติก มัดๆ พันๆ เข้ากับที่คาดผมเลยค่า
ซ่อนก้านให้สวยงาม อย่าให้โผล่มาดูไม่สวย แถมทิ่มหัวเจ็บอีกตะหากนะ




    ทุกอย่างขึ้นอยู่กับไอเดียของเราประกอบด้วยค่ะ จะเอาใหญ่ เอาเล็ก ดอกจิ๋ว ดอกโตแค่ไหน เราก็ใส่ไปเลย
กระทู้เพียงนำเสนอไอเดีย มาเป็นตัวอย่างให้สาวๆ เผื่อเอาไปทำต่อได้เท่านั้นจ้า 

ที่มาภาพ : http://wishwishwish.net  ข้อมูลเพิ่มเติมจ้า คลิกที่นี่
  

รองเท้าส้นสูงใส่อย่างไร?!?ช่วงหน้าฝน


รองเท้าส้นสูงใส่อย่างไร?!?ช่วงหน้าฝน
 “รองเท้าส้นสูง” ของที่คู่กับผู้หญิงที่อยากดูสูงเพรียวและสวยสมส่วนยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะต้องแลกกับความเมื่อย หรือเจ็บปวดอย่างไรก็ตาม แม้กระทั่งหน้าฝนที่ต้องต่อสู้กับความเฉอะแฉะ และก่อให้เกิดอุบัติเหตุลื่นหกล้มได้ง่ายก็ตาม คุณผู้หญิงก็ไม่ยั่น เพื่อสนับสนุนคุณผู้หญิงที่ห่างรองเท้าส้นสูงไม่ได้ไม่ว่าจะอยู่ในสถานการณ์หรือฤดูกาลใดๆ ก็ตาม น.ส.อังค์สุมาลี แร่กาสิน นักกายภาพบำบัด แผนกประกันสังคม รพ.กล้วยน้ำไท 1 มีคำแนะนำที่น่าสนใจ


เริ่มจากเราควรจะรู้ว่าปกติคนเราเดินกันวันละ 3,000-5,000 ก้าวโดยเฉลี่ย ส้นรองเท้าที่ยิ่งสูงจะทำให้เกิดแรงกดที่กระดูกนิ้วเท้าและข้อต่อนิ้วเท้า ทำให้การกระจายแรงที่เกิดจากการเดินผิดเพี้ยนไป เนื่องจากเวลาก้าวเดินปกติ เราจะยกด้านหน้าของเท้าขึ้นประมาณ 10-20 องศา แล้วเริ่มลงน้ำหนักจากส้นเท้า กลางเท้า และบริเวณด้านหน้าเท้า (นิ้วเท้า) แต่เมื่อเราใส่รองเท้าส้นสูง จะทำให้การยกหน้าเท้าน้อยลง ลักษณะการเดินจะคล้ายกับการลากเท้า และน้ำหนักส่วนใหญ่จะไปลงที่บริเวณกระดูกนิ้วเท้ารวมถึงข้อต่อนิ้วเท้า (Metarsal Joint) ซึ่งการกระจายแรงที่ไม่ทั่วถึงทั้งเท้านี้จะส่งผลให้เกิดอาการเจ็บบริเวณฝ่าเท้าด้านหน้า หรือการอักเสบของเอ็นที่เท้าตามมาด้วย และการใส่รองเท้าส้นสูงนานๆ จะทำให้เกิดอาการปวดน่อง เพราะต้องเขย่งบนรองเท้าส้นสูงตลอด ทำให้กล้ามเนื้อน่องต้องทำงานหนักขึ้น นอกจากนี้การเดินบนรองเท้าส้นสูงจะมีแรงกระแทกมาที่ข้อเข่า มากกว่าการใส่รองเท้าส้นเตี้ยจึงทำให้ปวดเข่า และเป็นสาเหตุให้เข่าเสื่อมได้ระยะยาว

รองเท้าที่เหมาะสำหรับการเดินบนพื้นถนนที่เปียกลื่นอย่างหน้าฝน คือรองเท้าไม่มีส้นและผลิตด้วยวัสดุที่ไม่เปียกน้ำง่าย เช่น รองเท้าบัลเลย์ (Ballet Shoes) ชนิดที่เป็นหนังหรือยางแบบที่มีแผ่นยางกันลื่นที่ใต้พื้นรองเท้า และรองเท้าแตะรัดส้นที่มีพื้นยางประเภทที่เกาะพื้นถนนได้ดี หรือรองเท้าผ้าใบแบบที่ช่วยกันน้ำได้ รวมถึงรองเท้าบูทยางแบบใส่ลุยฝน ฯลฯ นอกจากนี้ บริเวณ “พื้นรองเท้า” ควรเลือกรองเท้าที่ยึดเกาะพื้นผิวชนิดต่างๆ ขณะเปียกได้ดี และควรเลือกพื้นแบบที่มีลาย หรือพื้นผิวขรุขระซึ่งน่าจะเกาะพื้นผิวได้ดีกว่า ขณะเดียวกันหากมีรองเท้าอยู่แล้วแต่กลัวลื่นก็ควรนำไปที่ร้านรองเท้าเพื่อให้ติดแผ่นยางกันลื่น ส่วน “พื้นด้านในรองเท้า” ควรเป็นแบบที่ใส่แล้วกระชับกับฝ่าเท้าไม่ลื่น และมีความอ่อนนุ่มพอประมาณ แต่ไม่ควรจะนิ่มเกินไป เพราะอาจทำให้เมื่อยได้ง่ายเมื่อต้องเดินระยะยาว ขณะเดียวกัน “ลักษณะรองเท้า” ควรเลือกรองเท้าหุ้มส้น หรือรัดส้นที่ใส่แล้วรู้สึกกระชับกับหลังเท้า หลีกเลี่ยงรองเท้าหัวแหลม เนื่องจากบีบปลายนิ้วเท้า ทำให้เท้าผิดรูป และที่ขาดไม่ได้คือ “ส้นรองเท้า” ควรหลีกเลี่ยงรองเท้าส้นเข็ม เนื่องจากต้องเกร็งขณะเท้าเพื่อพยายามทรงตัว ทำให้เมื่อยยิ่งขึ้น ซึ่งส้นรองเท้าที่ทำจากยางดีกว่าไม้แข็งๆ เพราะช่วยดูดซับแรงกระแทกได้ 

แต่หากสาวๆ คนไหนที่อยากอวดเรียวขาเซ็กซี่ด้วยส้นสูง ควรเลือกใส่ด้วยความระวังมากขึ้น โดยเลือกความสูงให้อยู่ที่ประมาณ 0.5 นิ้ว -1.5 นิ้ว เนื่องจากพื้นถนนที่มีความลื่น และเวลาเดินจะต้องคอยระวังเรื่องการทรงตัวเพราะเท้าจะเกร็งมากกว่าปกติโดยลักษณะพื้นเท้าของเราจะเกร็งในลักษณะงุ้ม และจิกพื้น อาการเกร็งจะเกร็งไปถึงบริเวณข้อเท้าและน่อง หรือในบางครั้งถ้ามีน้ำเข้าไปในรองเท้าทำให้เท้าแฉะ จะยิ่งทำให้เดินลำบากมากขึ้น โดยเฉพาะถ้าใส่รองเท้าที่ไม่มีสายรัดช่วงส้น จะต้องเกร็งเท้าเพื่อคอยประคองไม่ให้รองเท้าหลุดตลอดเวลา จะยิ่งเสียการทรงตัวได้ง่าย ดังนั้นจึงควรเลือกรองเท้าส้นสูงที่มีลักษณะส้นใหญ่ เพราะจะช่วยกระจายน้ำหนักได้ดี ทำให้ยืนและเดินได้อย่างมั่นคง ซึ่งรองเท้าส้นสูงที่ใส่สบายที่สุดคือ รองเท้าส้นเตารีดที่มีน้ำหนักเบา แต่การเลือกแบบที่สูงจนเกินไปก็ต้องระวังเรื่องข้อเท้าพลิกและวิธีที่ดีสำหรับสาวออฟฟิศที่ต้องออกไปข้างนอกบ่อยๆ แต่ก็ยังอยากสวยด้วยรองเท้าส้นสูงสี่นิ้ว หัวแหลม ส้นเข็ม คือการมีถุงเล็กๆ ไว้ในกระเป๋าถือ เพื่อใส่รองเท้าคู่สวยสลับกับรองเท้าคู่สบายนั่นเอง
ท้ายนี้ แนะนำว่า “รองเท้าส้นสูง” เป็นเหมือนเฟอร์นิเจอร์ชิ้นสุดท้าย ที่สร้างความลงตัวให้ผู้หญิงก่อนออกจากบ้านไปทำงานหรือไปไหนๆ อย่างไรก็ตาม ไม่ควรเลือกเพียงเพราะความชอบในแบบสีหรือราคาเท่านั้น การเลือกรองเท้าส้นสูงก็ควรให้ความสำคัญทั้งรูปแบบ วัสดุต่างๆ ที่ประกอบในรองเท้า และความเหมาะสมของการหยิบแต่ละคู่มาใส่ในแต่ละโอกาสและพื้นที่ที่เดินทาง ระยะเวลาที่สวมใส่ด้วย เพื่อช่วยลดความเมื่อยล้าและปัญหาสุขภาพในระยะยาว.



สอนวิธี เพ้นท์เล็บลายดอกไม้


    
    1. ทาเบสโค้ตเพื่อปรับสภาพเล็บ จากนั้นเคลือบเล็บด้วยสีม่วงจนครบทุกนิ้ว รอให้แห้งสนิท
    2. ใช้ยาทาเล็บชนิดใสที่ผสมกลิตเตอร์แต้มที่โคนหรือปลายเล็บแล้วแต่ชอบ
    3. ใช้ไม้จิ้มฟันที่ตัดปลายแหลมออกแล้ว จุ่มยาทาเล็บสีขาวแต้มจุดเล็กกึ่งกลางแล้วตามด้วยจุด
    4. ใช้สีเขียวแต้มทับบริเวณกึ่งกลางดอกไม้เพื่อเป็นเกสร
    5. แต้มจุดเล็กๆ ตรงส่วนอื่นเพื่อตกแต่งรอบๆ ดอกไม้ตามไอเดียคุณได้เลย
     ที่มา สุดสัปดาห์
       เพื่อนๆอยากดูเพิ่มเติมก็ลิงค์ได้เลยค่ะ คลิกที่นี่

LO(Learning Organization)

        วันนี้น่ะค่ะ Pitcha ได้นำ Infographic เกี่ยวกับองค์กรแห่งการเรียนรู้มาฝากเพื่อนกันด้วยน่ะค่ะดูแล้วเข้าใจง่ายค่ะ ก่อนอื่นต้องขอขอบคุณ อาจารย์นายแพทย์พิเชฐ  บัญญัติ ค่ะ ที่เป็นคนจัดทำแผนภาพขึ้นมา

เพื่อนๆสามารถหาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่นี่ค่ะ  คลิกที่นี่

คำคม ข้อคิดดีๆ .. จากหลากหลายนักปราชญ์

คำคมจากหลากหลายนักปราชญ์

1. "ใช้ชีวิตให้เสมือนว่าพรุ่งนี้ท่านจะไม่มีชีวิตอยู่แล้ว เรียนรู้ให้เสมือนว่าท่านจะอยู่ในโลกนี้ต่อไปไม่มีวันสิ้นสุด" ...มหาตมะคานธี... 
2. "สามคนเดินมา ต้องมีคนหนึ่งที่เป็นครูเราได้" ...ขงจื้อ... 
3. "ความรักเป็นสิ่งมีค่า แต่สิ่งที่มีค่ามากกว่าความรักนั้นมีอยู่" ...พระมหาวีระพันธ์ ชุติปัญโญ... 
4. "ตาสามารถมองเห็นสิ่งที่ไกลได้ แต่ไม่สามารถมองเห็นคิ้วของตัวเองได้" ...ขงเบ้ง... 
5. "ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว" ...พุทธสุภาษิต หมวดธรรมเบื้องต้น 
6. "กรรมชั่วของตน นำตนไปสู่ ทุคติ" ...พุทธสุภาษิต หมวดกรรม... 
7. "บรรดาการงานของมนุษย์ก็เพื่อปากของเขา แต่ถึงกระนั้นเขาก็ไม่รู้จักอิ่ม" ...คัมภีร์ไบเบิ้ล ปัญญาจารย์ 6:7... 
8. "สิ่งที่ดีและสวยงามที่สุดในโลกมองไม่เห็นและจับต้องไม่ได้แต่จะรู้สึกได้จากหัวใจ" ...Helen Keller กวีชาวอเมริกัน... 
9. "สิ่งที่ได้มาเปล่าคือความเฒ่าชรา สิ่งที่ต้องแสวงหาคือคุณค่าของชีวิต" ...หลวงปู่จันทร์ กุสโล... 
10. "อยู่ใต้ฟ้าเดียวกันก็จริง แต่คนเราเห็นขอบฟ้าไม่เหมือนกัน" ...Konrad Adenauer กวีชาวเยอรมัน... 
11. "คนเราแก้ไขอดีตไม่ได้ แต่เปลี่ยนอนาคตได้" ...วินทร์ เลียววาริณ... 
12. "จุดที่ต่ำสุดของชีวิตที่ทุกคนมีโอกาสประสบเป็นได้ทั้งจุดจบและบทเรียนที่ดี" ...ภาษิตตะวันตก... 
13. "มีเพียงชีวิตเพื่อผู้อื่นเท่านั้นที่มีคุณค่าแก่การมีชีวิต" ...อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์... 
14. "คนฉลาดไม่เคยร้องไห้หาสิ่งที่สูญเสียไป แต่เขาจะหาวิธีปรับแต่งแก้ไขความเสียหายนั้นอย่างร่าเริง" ...วิลเลียม เชคสเปียร์... 
15. "คนเรานั้นมักมีความสุขจากการได้มากกว่าความสุขจากการมี" ...พระอาจารย์ไพศาล วิสาโล... 
16. "ไม่มีสิ่งใด ๆ ในโลกที่ดีหรือเลว มีแต่ความคิดของเราเท่านั้นที่ทำให้เกิดความดีและความเลว" ...วิลเลียม เชคสเปียร์... 
17. "บางครั้งคนเราก็ทุ่มเททุกสิ่งทุกอย่างเพื่อสิ่งที่ไร้ค่า" ...อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์... 
18. "เมื่อได้เพียรพยายามแล้ว ถึงจะตายก็ชื่อว่า ตายอย่างไม่มีใครติเตียน" ...พุทธสุภาษิต หมวดความเพียร... 
19. "หากบริษัทขาดคุณไปเค้าก็หาคนอื่นมาแทนคุณได้ แต่ถ้าครอบครัวขาดคุณไปก็หาใครมาแทนที่คุณไม่ได้" ...จาก ภรรยาที่รักของคุณ... 
20. "ความยโสโอหังเป็นที่มาของบรรดาความทุกข์ยาก" ...มหาตมะคานธี... 
21. "พูดความจริงแค่ครึ่งเดียวก็คือการโกหกทั้งหมด" ...ภาษิตชาวยิว... 
22. "ลมหายใจเฮือกแรกของความรัก คือลมหายใจเฮือกสุดท้ายของความฉลาด" ...แอนทอยเบร์ต... 
23. "ความสุขแบบยั่งยืนที่แท้จริงแล้ว ทุกคนต้องรู้จักพอ แล้วเลิกยกย่องคนที่เงิน แต่ให้ยกย่องคนดี" ...อาจารย์ จตุพล ชมพูนิช... 
24. "กุหลาบที่ไร้หนามในโลกนี้มีเพียงสิ่งเดียว คือ มิตรภาพ" ...โกวเล้ง... 
25. "ความรัก คือ สองวิญญาณรวมกัน และ สองหัวใจเต้นพร้อมกัน" ...วอน เบลลิ่งเฮาเซ่น... 
26. "กตัญญูเป็นการแสดงออกของจิตใจอันสูงส่งและประเสริฐ" ...ภาษิตจีน... 
27. "หน้าที่ของมนุษย์ คือการช่วยเหลือบุคคลผู้ที่อ่อนแอกว่าเรา มิใช่เอาเปรียบผู้อื่นที่อ่อนแอกว่า" ...ภาษิตตะวันตก... 
28. "เวลาเหมือนน้ำไหล ผ่านไปไม่คืนกลับ" ...สุภาษิตจีน... 
29. "คนโกรธฆ่าได้แม้แต่มารดาตน" ...พุทธสุภาษิต... 
30. "แสวงหาที่ไม่เห็นแจ้งในธรรมย่อมไม่เห็นแจ้งนิพพานที่อยู่ใกล้ตัว" ...พุทธพจน์... 
31. "คนประมาทเปรียบเสมือนคนตายแล้ว" ...พุทธสุภาษิต หมวดความเพียร... 
32. "ความว้าเหว่เป็นธรรมอันอยู่ในตัวของทุกคนอยู่แล้ว อย่ามองว่ามันเกิดขึ้นเพราะอยู่คนเดียว" ...พระอาจารย์ มิตซูโอะ คเวสโก พระภิกษุชาวญี่ปุ่น... 
33. "รักแท้หายาก แต่มิตรแท้หายากกว่า” ...ภาษิตจีน... 
34. "ตัณหาเหมือนทะเลไม่อิ่มน้ำ ไฟไม่อิ่มเชื้อ ธรรมชาติของตัณหาคือยิ่งเติมยิ่งไม่เต็ม" ...ว.วชิรเมธี... 
35. "มีเงินทองใช่สุขศรี มีความดีนี่สิสุขสันต์" ...ภาษิตจีน... 
36. "การให้อภัยคือการปลดปล่อยนักโทษและนักโทษผู้นั้นก็คือตัวคุณนั่นเอง" ...Corrie ten Boom ผู้ช่วยเหลือชาวยิวจากค่ายกักกันของนาซี... 
37. "ความแค้นที่ไร้เหตุผล เสมอเผาเรือนตนเพื่อไล่หนูตัวเดียว" ...ภาษิตอังกฤษ... 
38. "ความแค้น คือ ความเศร้าที่ตกตะกอน" ...ภาพยนตร์เรื่อง Interpreter... 
39. "ผู้สูญเสียความซื่อสัตย์เหมือนสูญเสียแล้วทุกสิ่งทุกอย่าง" ...ภาษิตจีน... 
40. "การพูดให้ร้ายไม่ทำให้คนดีเป็นคนเลว เพราะเมื่อน้ำลดหินก็ยังอยู่ที่เดิม" ...ภาษิตจีน... 
41. "กามทั้งหลายเป็นของเผ็ดร้อนเหมือนงูพิษ คนโง่ที่หมกมุ่นต้องแออัดทุกข์ยากอยู่ในนรกตลอดกาล" ...พุทธสุภาษิต... 
42. "หากพ่อแม่คาดหวังอยากจะให้ลูกเป็นคนดีนั้น พ่อแม่ต้องช่วยทำให้ลูกเป็นคนดีด้วย" ...จาก 50 ข้อคิดมุมมองเพื่อเข้าใจชีวิต... 
43. "ถึงสิ้นชีพไว้ลายว่าชายชาญ มอบวิญญาณเลือดเนื้อเพื่อบ้านเมือง" ...ขยายความจากเพลงความฝันอันสูงสุด พระราชดำรัสสมเด็จพระเทพ ฯ... 
44. "ชีวิตเราอาจเปลี่ยนไปตลอดกาลได้ เพราะคนเพียงคนเดียวหรือความคิดเพียงแวบเดียว" ...ภาษิตตะวันตก... 
45. "ถ้ามัวแต่ดูถูกคนอื่นเพื่อให้ตัวเองดูดีแล้วเมื่อไหร่จะได้เห็นความสวยงามของโลก" ...จากหนังสือกล้าที่จะก้าว โดย Cartoon... 
46. "ถ้ามองแต่ความผิดของคนอื่นเธอจะมีแต่ความเกลียด ถ้ามองแต่ความดีของคนอื่นเธอจะมีแต่ความรัก" ...ภาษิตตะวันตก... 
47. "หนึ่งชั่วโมงแห่งความรักดีกว่าตลอดชีพแห่งความเกลียดชัง" ...อะบราเบ็น... 
48. "ถึงโรงเหล้าเตากลั่นควันโขมง มีคันโพงผูกสายไว้ปลายเสา โอ้บาปกรรมน้ำนรกเจียวอกเรา ให้มัวเมาเหมือนหนึ่งบ้าเป็นน่าอาย" ...บทกลอน “น้ำนรก” จากนิราศภูเขาทองของสุนทรภู่... 
49. "คุณอาจเป็นเพียงคนหนึ่งบนโลกใบนี้ แต่คุณอาจเป็นโลกทั้งใบของใครคนหนึ่งก็ได้" ...ภาษิตตะวันตก... 
50. "จงใช้ความรักเอาชนะความรัก" ...อเล็กซานเดอร์ บาร์เคลย์... 


51. "ไม่ว่าปัญหาในอดีตจะแก้ไขได้หรือไม่ เราต้องดำรงชีวิตอย่างมีความหมายต่อไป" ...อัลแบร์ กามูส์ นักปรัชญาชาวฝรั่งเศส... 
52. "การไม่สามารถแยกดีชั่วได้เป็นบุคคลที่น่าห่วงใยที่สุด" ...ภาษิตจีน... 
53. "ความแค้นล้วนมีเหตุผล แต่เหตุผลที่ดีไม่ค่อยมี" ...สามก๊ก... 
54. "ถ้าเราติดกระดุมแรกผิด เม็ดต่อไปมันก็ผิดหมด" ...พระราชดำรัสพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว... 
55. "คิดดีเป็นเรื่องหนึ่ง แต่กระทำดีเป็นอีกเรื่องหนึ่ง" ...มหาตมะคานธี... 
56.  "ไม่มีสิ่งใดที่ดีหรือเลว มีแต่ความคิดของเราเท่านั้น ที่ทำให้เกิดความดีและความเลว" ...วิลเลี่ยม เชคสเปียร์... 
57. "โอกาสไม่ใช่สิ่งที่ทุกคนมองเห็น เพราะถ้าทุกคนมองเห็น สิ่งนั้นไม่เรียกว่าโอกาส" ...NESTOR URCHING... 
58. "ภัยที่น่ากลัวคือ การกระทำที่ไม่รู้จักคิด" ...ภาษิตจีน... 
59. "ถ้าเรามัวทะเลาะด้วยเรื่องเมื่อวานนี้ เราจะสูญเสียวันพรุ่งนี้" ...เซอร์วินสตัน เชอร์ชิว... อดีตนายกฯและรัฐบุรุสอังกฤษ 
60. "คุณอาจได้อะไรมากมายจากการเห็นแก่ตัว แต่สิ่งที่คุณไม่มีทางได้เลย คือโอกาสเข้าไปนั่งในใจคน" ...ท่าน ว.วชิรเมธี... 
61. "บัณฑิตรู้เฉพาะเรื่องที่ชอบด้วยคุณธรรม คนพาลรู้เฉพาะเรื่องที่ได้ผลกำไร โดยไม่คำนึงถึงคุณธรรม" ...ขงจื้อ... 
62. "ไม้คดใช้ทำขอ เหล็กงอใช้ทำคียว แต่คนคดเคี้ยว ใช้ทำอะไรไม่ได้เลย" ...ขงเบ้ง... 
63. "ผู้ชนะไม่ได้หมายถึงคนที่มาเป็นที่หนึ่ง แต่หมายถึงคนที่ทำได้ดีกว่าที่เคยทำ" ...บอนนี่ แบลร์ นักสเก็ตน้ำแข็งเจ้าของเหรียญทองโอลิมปิก 6 สมัย... 
64. "ถ้าคิดว่าข้าศึกมีทางเลือกเพียงสองทาง จงแน่ใจว่าเขาจะเลือกทางที่สาม" ...ภาษิตจีน... 
65. "สิ่งที่สมบูรณ์แล้วโดยแท้มันก็มีความบกพร่องอยู่ สิ่งที่บกพร่องอยู่แท้จริงมันก็สมบูรณ์ดีอยู่แล้ว" ...ท่านพุทธทาสภิกขุ... 
66. "ความมีชื่อเสียงที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเราไม่ได้ประกอบส่วนด้วยความไม่เคยตกต่ำ หากแต่เราลุกขึ้นได้ทุกครั้งที่เราตกต่ำลง" ...ภาษิตตะวันตก... 
67. "อยู่อย่างมีภูมิคุ้มกัน อย่าประมาท รักษาความพอประมาณ แค่นี้ชีวิตก็สงบ" ...พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว... 
68. "ความหมายของชีวิต มิได้อยู่ที่เค้าได้รับสิ่งใด แต่อยู่ที่เขาปรารถนาจะได้รับสิ่งใด" ...คาห์ลิล ยิบราน... 
69. "บทเรียนราคาแพงไม่ใช่บทเรียนที่เสียเงินมาก แต่เป็นบทเรียนที่เสียใจมาก" ...ภาษิตตะวันตก... 
70. "มนุษย์แสวงหาสิ่งภายนอกเป็นเครื่องตอบแทนความว่างเปล่าในตนเอง" ...อีริค ฟรอมม์ นักจิตวิทยาชาวเยอรมัน... 
71. "การทำงานอย่าเอาทิฐิของตนต้องเข้าใจเหตุผลของงาน" ...ภาษิตจีน... 
72. "ถ้าต้องการจะเห็นสายรุ้ง คุณจะต้องยอมอดทนกับสายฝนก่อน" ...ดอลลี่ พาร์ตัน... 
73. "ต้องใช้หินถึงสองก้อนถึงจะเกิดไฟได้" …Liuosa May Alcott... 
74. "ความจริงคือสิ่งที่พึงรู้ ความดีงามคือสิ่งที่ควรกระทำ" ...พระเทพเวที... 
75. "ความสำเร็จอันยิ่งใหญ่เกือบทั้งหมด สร้างสรรค์โดยคนหนุ่มสาว" ...เบนจามิน ดิสแรลี อดีตนายกรัฐมนตรีแห่งสหราชอาณาจักร... 
76. "เราไม่สามารถสอนอะไรใครได้เลยเราเพียงช่วยให้เขาค้นพบสิ่งที่อยู่ในตัวเขาเท่านั้น” ...กาลิเลโอ กาลิเลอี... 
77. "ความกล้าทำให้ตัวเรายิ่งใหญ่กว่าอุปสรรค” …ภาษิตตะวันตก... 
ดึงข้อมูลจาก http://th.wikipedia.org/wiki



แฟชั่น นีออน

แฟชั่น นีออนสะท้อนแสง









Fashion : Princess in Wonderland

ความฝันของเด็กสาว .. เรามักรู้กันว่า "อยากเป็นเจ้าหญิง"
เมื่อไม่เป็นเจ้าหญิงจริงๆ เราก็เลยทำได้ แต่ ฝัน และ ดู การ์ตูน และหนังกันไป
ตอกย้ำ ให้สาวน้อยได้เพ้อฝัน ..เอาภาพ ของเจ้าหญิงมาฝาก





ตัวบ่งชี้การจัดการความรู้ที่ดี

ตัวบ่งชี้การจัดการความรู้ที่ดี
          อ.จิรัชฌา วิเชียรปัญญา ส่งร่างเอกสาร "การพัฒนาตัวบ่งชี้รวมสำหรับการจัดการความรู้ที่มีประสิทธิภาพ" เป็นเอกสารหนา 14 หน้ามาให้ผมให้ความเห็น อ.จิรัชฌายกร่างมาอย่างละเอียดและซับซ้อนมาก เนื่องจากจะเป็นส่วนหนึ่งของวิทยานิพนธ์ปริญญาเอก ทำให้ผมสงสัยว่า indicators สำหรับ KM ที่ดีน่าจะมีหลายชุด
- ชุดวิทยานิพนธ์
- ชุดองค์กรที่เพิ่งเริ่มทำ KM
- ชุดองค์กรที่ทำ KM จนเป็นวัฒนธรรมองค์กรไปแล้ว
- ฯลฯ
          indicators ชุดวิทยานิพนธ์อาจมีรายละเอียดมากหน่อย เน้นทฤษฎีมากหน่อย ส่วน indicators ชุดใช้งานน่าจะมีตัวชี้วัดน้อยตัวที่สุด ใช้ง่ายที่สุด เสียเวลาน้อย แต่ช่วยบอกว่า "สุขภาพ" ของ KM ตรงตามที่ต้องการหรือไม่
          ผมเองมีอคติเรื่องการประเมิน ว่าต้องใช้การประเมินสำหรับเป็นเครื่องมือในการทำงาน ให้ทำได้ตรงทาง การประเมินช่วยชี้ว่าเราหลงตรงไหน โหว่ตรงไหน อ่อนตรงไหน เพื่อให้ผู้ปฏิบัติปรับปรุง   ไม่ใช่ประเมินเพื่อประเมิน ผมเคยเห็นการประเมินแบบขี่ช้างจับตั๊กแตนบ่อยๆ ที่ประเมินมากมาย ลงทุนลงแรงไปมาก แต่ใช้ผลการประเมินนิดเดียว
ผมจึงมองว่าตัวบ่งชี้ควรมี 2 ระดับ
(1) ระดับกลางๆ ระดับภาพรวม เป็นตัวบ่งชี้กว้างๆ และเป็นตัวหลักๆ ใช้ได้ในทุกกรณี ซึ่งน่าจะมีอยู่ไม่กี่ตัว
(2) ระดับภาพลึกหรือภาพเฉพาะกรณี ซึ่งจะต้องคิดขึ้นตามสภาพ, ระยะ (phase), และเป้าหมายของ KM ในขณะนั้น  ตัวบ่งชี้กลุ่มนี้จะต้องคิดขึ้นในตอนนั้น
           อีกประการหนึ่ง   ตัวบ่งชี้ควรมีการให้น้ำหนัก (weight) ไม่เท่ากัน
ตัวบ่งชี้น่าจะคิดขึ้นตาม KM Model ที่ใช้ เช่น ถ้าใช้โมเดลปลาทู ตัวบ่งชี้น่าจะมี 5 ส่วน
1. Desired State หรือ Purpose/Vision ขององค์กร
2. KV
3. KS
4. KA/Core Competence
5. ผลกระทบต่อผลสัมฤทธิ์ของงาน

Desired State
- มีการกำหนด Desired State/Purpose/Vision ขององค์กรไว้เป็นลายลักษณ์อักษรหรือไม่
- มีความชัดเจนเข้าใจง่ายหรือไม่
- มีการนำมากล่าวย้ำ   หรือทำความเข้าใจ/ตีความในบริบทหรือสถานการณ์ต่าง ๆ ขององค์กรหรือไม่
- ใครบ้างนำเอาข้อความนี้มากล่าวถึง
KV - Knowledge Vision
- มีการกำหนด KV ขององค์กรไว้เป็นลายลักษณ์อักษรหรือไม่
- ข้อความสอดคล้องกับ Desired State หรือไม่
- มีความชัดเจนเข้าใจง่ายหรือไม่
- มีการนำมากล่าวย้ำหรือทำความเข้าใจ/ตีความในบริบทหรือสถานการณ์ต่าง ๆ ขององค์กรหรือไม่
- ใครบ้างนำข้อความนี้มากล่าวถึง
KS - Knowledge Sharing- การแลกเปลี่ยนเรียนรู้บน "พื้นที่จริง"
- การแลกเปลี่ยนเรียนรู้บน "พื้นที่เสมือน"
- การมีทีมข้ามสายงาน
- การมี KS Event
KA - Knowledge Assets & Core Competence- มีการจดบันทึกวิธีทำงานที่ให้ผลยอดเยี่ยมเป็น KA
- มีการรวบรวม KA เพื่อการบรรลุงานชิ้นใดชิ้นหนึ่งและสังเคราะห์เป็น Core Competence
- มีการจัดทำ KA & CC เป็น knowledge base ให้สมาชิกขององค์กรเข้าถึงได้ง่าย
- มีการ reuse KA & CC ซ้ำ ๆ และ update KA & CC
ผลกระทบต่อผลสัมฤทธิ์ของงาน- ผลสัมฤทธิ์ส่วนใดที่น่าชื่นชมและเป็นผลจาก KM เป็นปัจจัยหลัก
- ผลสัมฤทธิ์ส่วนใดที่ยังไม่ดีนัก  และ KM น่าจะช่วยเพิ่มผลสัมฤทธิ์ได้

            ผมอ่านทบทวนดูแล้วความเห็นของผมคงจะทำให้ อ.จิรัชฌายิ่งงง จึงลองกลับไป Comment ข้อเขียนของ อ. จิรัชฌาบ้าง
            - ที่หน้า 6 ข้อ 2.1 คน ข้อ 1 บุคลากรมีทักษะพื้นฐานด้านคอมพิวเตอร์  น่าจะเติม "และการสื่อสารผ่าน ICT" คือใช้คอมพิวเตอร์เก่ง แต่ไม่เขียนบล็อก ไม่ใช้ ICT ในการ ลปรร.ก็ไม่เอื้อต่อ KM
               ข้อ 2 บุคลากรมีทักษะพื้นฐานด้านการสื่อสาร ผมเติม
                    - การฟังโดยไม่ตัดสิน
                    - การเล่าเรื่อง
                    - การเล่าความคิดโดยไม่กังวลว่าจะถูกหรือผิด
                    - การคิดเชิงบวก
                    - การแสดงความชื่นชมยินดี
                    - การจดบันทึกบล็อก
             - หน้า 6 ข้อ 2.2 โครงสร้างพื้นฐาน
                    1) โครงสร้างพื้นฐานทางสารสนเทศ ควรมีข้อบ่งชี้คือระบบ ICT เหมาะสมต่อระดับความสามารถในการใช้ ICT ของบุคลากร คือ ICT ดีแต่คนใช้ไม่เป็น ก็ไม่มีประโยชน์กลับหมดเปลืองด้วยซ้ำ
                    2) โครงสร้างพื้นฐานทางการจัดการความรู้ ควรเพิ่มข้อ 7 ฐานความรู้ในลักษณะ Yellow Pages บอกความรู้ความสามารถพิเศษของบุคคลและสถานที่ติดต่อ
            - หน้า 8 องค์ประกอบที่ 6  การประเมินผลงาน ควรคิดถึงปัจจัยต่อไปนี้
                    - การประเมินผลสัมฤทธิ์ของทีมงานและของบุคคล
                    - การประเมินการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ (ถือ KS เป็นผลงานอย่างหนึ่ง)
                    - KA & CC ที่บันทึกไว้ให้แก่หน่วยงาน
            - หน้า 8 องค์ประกอบที่ 5  การสร้างแรงจูงใจ/การตอบแทน ควรพิจารณาการตอบแทนใน 2 แบบประกอบกันคือ   ผลงานของกลุ่มกับผลงานของบุคคล
            - หน้า 10 ข้อ 3.2 การจัดกระบวนการทำงาน ควรพิจารณาการจัดรูปแบบการทำงานแบบ Task Force โดยมีทีมข้ามสายงาน
            - หน้า 10 ข้อ 3.3  1) การจัดการการเปลี่ยนแปลง ควรพิจารณาการให้รางวัลต่อพฤติกรรม/กิจกรรมที่ช่วยเปลี่ยนวัฒนธรรมองค์กรไปในทิศทางที่ต้องการ
            ตัวบ่งชี้ที่สำคัญอีกประการหนึ่งคือ การดำเนินการขจัดอุปสรรค (obstacle) ต่อการ ลปรร.   ขจัดอุปสรรคต่อการที่ความรู้  สารสนเทศ   และข้อมูลจะไหลเวียนไปทั่วองค์กร